วันเสาร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2554

เงินเฟ้อ เงินฝืด

คลังคาดจีดีพีปี54โต4-5%ไม่หวั่นเงินเฟ้อ!

คลังคงเป้าเศรษฐกิจไทยปี"54 โต 4-5% ไม่หวั่นปัญหาเงินเฟ้อพุ่ง เตือนปัจจัยเสี่ยงศก.ประเทศคู่ค้า-เงินทุนเคลื่นย้าย-จีนขึ้นดอกเบี้ย-น้ำมันพุ่ง


จากข่าว ข้างต้นได้มีการพูดถึงเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ... ผมจึงอยากอธิบายคำว่าเงินเฟ้อดังต่อไปนี้.

เงินเฟ้อคืออะไร เงินเฟ้อคือการที่ เงินในท้องตลาดซึ่งอยู่ในกระเป๋าของคนมีมากเกินไป เงินนั้นก็จะถูกนำไปไล่ซื้อสินค้าทำให้ราคาสินค้าปรับตัวขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น เคยซื้อก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาทไม่ว่าจะซื้อที่ไหน พอซักพัก ร้านค้าลองขยับราคาขาย เป็น 20 บาท ก็ยังมีคนซื้อปกติ ร้านค้าเลยลองขยับไปเป็น 25 บาท ก็ยังมีคนซื้ออยู่ดี ผลก็คือ คนทั่วไปได้สินค้าเท่าเดิมถึงแม้ว่าเราจะมีเงินใช้จ่ายมากขึ้น สถานการณ์แบบนี้เราเรียกว่า “เงินเฟ้อ”

มีลักษณะบางอย่างที่ใช้ควบคู่กับคำว่าภาวะเงินเฟ้อ ก็คือ คำว่า "ภาวะฟองสบู่" ลักษณะของฟองสบู่ คือ จะค่อยๆขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อถึงจุดนึงก็จะแตกสลายไป หากเปรียบการขึ้นราคาของก๋วยเตี๋ยวดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เมื่อราคาก๋วยเตี๋ยวปรับขึ้นจนถึงจุดที่คนทั่วไปไม่สามารถซื้อทานได้ คนก็จะหันไปหาอาหารอย่างอื่นแทน ซึ่งอาจจะส่งผลให้ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นไม่มีคนเข้า ส่งผลต่อไปก็คือ ร้านนั้น อาจจะต้องลดราคา เพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้าร้าน ซึ่งหากลูกค้ายังคงไม่เข้าร้านต่อไป ร้านนั้นก็อาจจะต้องลดราคาเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะทำให้ร้านนั้นเจ๊งเลยก็เป็นได้ หรืออาจจะก่อให้เกิดภาวะเงินฝืดต่อไป ซึ่งเราจะพูดถึงในคราวหลัง

หากดูเปรียบเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน (นับตั้งแต่ประมาณปี 51-ปัจจุบัน) พบว่าจะมีลักษณะหลายๆประการ ที่อาจจะก่อให้เกิดเงินเฟ้อ ซึ่งผมไม่ขอฟันธงว่ามันเป็นเงินเฟ้อหรือไม่ แต่จะอธิบายให้เห็นลักษณะของปัจจัยที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อดังนี้

ประการแรก ต้นทุนสินค้าเพิ่ม ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายต้องปรับสินค้าขึ้น ซึ่งต้นทุนหลักของเกือบทุกกิจการ ก็คือน้ำมัน พบว่ามีอยู่ช่วงนึง น้ำมันเพิ่มราคาสูงมาก อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าราคาน้ำมันเพิ่มการขนส่งก็ต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น ราคาวัตถุดิบก็ต้องสูงขึ้นตาม ทำให้ราคาสินค้าต้องเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งก็จะทำให้ประชาชนทั่วไปต้องใช้เงินมากขึ้นในการซื้อสินค้าแต่ละชนิด

ประการที่สอง ความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้น หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าในยุคเศรษฐกิจตกต่ำจะมีความต้องการสินค้าเพิ่มได้อย่างไร การต้องการสินค้าที่เพิ่ม อาจจะเกิดจากการคาดเดาในอนาคตว่าของจะขายได้ดีขึ้น เศรษฐกิจจะดีขึ้น เลยต้องมีการสั่งสินค้าเพิ่ม โดยปัจจัยในการคาดเดานั้นอาจจะเกิดมาจากหลายสาเหตุเช่น นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ความต้องการสินค้าในต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงปริมาณเงิน เป็นต้น เมื่อมีการขายสินค้าได้คล่อง คนก็จะมีการสั่งสินค้าเพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้มากขึ้น การใช้จ่ายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

หากมองย้อนกลับมาดูในช่วงปีที่ได้กล่าวไปข้างต้น การคาดเดาว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น อาจจะถูกคอนเฟิร์มได้จาก การที่ SET index พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วโดย หุ้นเกือบทุกตัวในตลาด มีราคาเพิ่มขึ้นเท่าตัวหรือมากกว่านั้น แน่นอนว่านักลงทุนที่ถือหุ้นเหล่านั้น ย่อมได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากการลงทุนดังกล่าว แต่ถ้าถามว่าเศรษฐกิจจริงๆ ดีขึ้นหรือยังคงไม่มีใครตอบได้ บางทีมันอาจเป็นเพียงแค่การคาดหวังหรือความคิดของคนหมู่มากว่าเศรษฐกิจดีขึ้นแล้ว ซึ่งผมมีเรื่องสั้นๆจะนำมาเล่า ดังต่อไปนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเทวดาองค์หนึ่งอยู่บนสวรรค์ ความสุขสบายเป็นอย่างมาก อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะกินอะไรก็กิน เรียกได้ว่าชีวิตมีความสุขเพรียบพร้อมไปทุกสิ่งอันเลยทีเดียว
เมื่อเวลาผ่านไป เริ่มมีเทวดาองค์อื่น เข้ามาแบ่งที่อยู่อาศัย แรกๆก็ยังมีความสุขดี มีความเอื้ออาทรแก่กัน อาจจะมีการรุกล้ำดินแดนกันบ้างแต่ก็ยังพออภัย เพราะถือว่าตัวเราก็ยังสุขสบายดี

เมื่อเวลาผ่านไปนานขึ้น สวรรค์ดังกล่าวเริ่มแน่นเบียดเสียดแออัด เทวดาที่อยู่มานานเห็นว่านรกยังว่างอยู่ จึงคิดว่าจะทำอะไรเพื่อที่จะให้เทวดาองค์อื่น ย้ายไปนรกดี จึงได้แต่งเรื่องขึ้นมาว่า มีข่าววงในจากนรกในปัจจุบันนั้นมีความเป็นอยู่สุขสบายมาก ท่านยมทูต ยังเอ่ยปากว่าพร้อมต้อนรับเทวดาทุกองค์มาร่วมเสวยสุขในนรกด้วยกัน พร้อมยังแอบเยาะเย้ยพวกที่ไม่ยอมลงนรกว่า เป็นพวกที่โง่เขลา
เมื่อเหล่าเทวดาทั้งหลายได้ยินดังนั้น แรกๆยังคิดไตร่ตรองและยังไม่กล้าจะลงไปในนรก เพราะกลัวกลับขึ้นมาสวรรค์ไม่ได้ แต่เมื่อเห็นเหล่าเพื่อนเทวดาด้วยกันหายลงไปและไม่ขึ้นมาเลยนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า "หรือในนรก มันจะมีความสุขสบายจริงๆ" เมื่อคิดเช่นนั้นแล้ว เหล่าเทวดาทั้งหลายก็ต่างลงไปยังนรก เพื่อไปพิสูจน์ความจริงนั้น ทำให้สวรรค์กลับมาโล่งกว้าง สุขสบายอีกครั้ง

คราวนี้เหลือแต่เทวดาองค์เดิมที่แต่งเรื่องขึ้น ซึ่่งเป็นคนที่รู้ดีที่สุดว่า เรื่อง ความสุขสบายในนรกนั้นไม่มีจริง แต่เมื่อเห็นเพื่อนๆเทวดาจำนวนมากลงไปในนรกแล้วไม่กลับขึ้นมา ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า "หรือในนรกนั้นจะมีความสุขสบายที่ตนเสาะหาอยู่จริงๆ" สุดท้ายก็ตัดสินใจลงตามเพื่อนๆเทวดาไปลงนรกแล้วก็พบว่าเทวดาทั้งหลายที่ลงมาก่อนนั้น ล้วนแต่มาถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆนาๆ อย่างโหดร้ายทารุณ บ้างก็ถูกจับขัง ทำให้ขึ้นไปยังสวรรค์ดังเดิมไม่ได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมา ถึงแม้ผู้สร้างจะรู้ว่ามันไม่จริง แต่เมื่อเห็นคนอื่นคล้อยตามไปเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะคิดไปเองว่าเรื่องที่ตนคิดตนพูดนั้นเป็นเรื่องจริง จนไม่สนใจความจริงที่มีอยู่


การลงทุนก็เช่นกัน หากเชื่อตนเองมากเกินไป หรือเชื่อคนอื่นมากเกินไป ก็อาจจะทำให้การตัดสินใจในบางอย่างนั้น ผิดพลาดไปได้ ดังนั้น จริงๆควรศึกษาข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่จริงให้อย่างถี่ถ้วน ไม่คาดหวังอะไรที่มากเกินไป และปรับใช้ให้ถูกต้องตามสถานการณ์ ผมเชื่อว่า ทุกคนที่ทำได้ตามนี้จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีเลยทีเดียวเลยครับ

ขอให้ทุกท่านมีความสำเร็จในการลงทุนครับ ^^